2
Creative Destruction Model และการนำไปประยุกต์ใช้กับวิกฤตการณ์ต่างๆที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น
แม้แต่วิกฤตที่คุณกลัวชนิดจับขั้วหัวใจ มันได้ผลมาก ต้องอ่าน
ในช่วงกว่า20ปีที่ผ่านมานี้ ผมนำเสนอเรื่องใหม่ๆต่อตลาดหุ้นไทยอยู่ 3 เรื่องด้วยกันครับ
เรื่องแรก-FundFlow การวิเคราะห์เงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย
เรื่องที่สอง-TimeZone มิติด้านเวลาว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือจะตกวันไหน เมื่อไหร่
เรื่องที่3-Creative Destruction
Model หรือโมเดลทำลายเชิงสร้างสรรค์กับการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้น
โมเดลทำลายเชิงสร้างสรรค์กับการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้น(เป็นโมเดลที่ผมคิดสังเคราะห์
และนำเสนอต่อนักลงทุนมาในช่วงเวลา20ปีมานี้)
ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์สงคราม, ก่อการร้าย, วิกฤตการเมือง, จลาจล, ปฏิวัติ, รัฐประหาร, พิบัติภัย อย่าง น้ำท่วม, แผ่นดินไหว, สึนามิ, โรคระบาด แบบ ซาร์, วัวบ้า, ไข้หวัดนก,ผู้นำคนสำคัญถึงแก่อสัญกรรม ฯลฯ โดยมี MODEL
ดังชาร์ตด้านบนนี้
โมเดลพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในตลาดหุ้น
คุณสามารถเปลี่ยนวิกฤตได้ เพียงแต่รู้เรื่องนี้
ถ้าคุณหรือเพื่อนของคุณหวาดผวาข่าวร้ายใดๆก็ตาม แชร์ไปให้เพื่อนคุณรู้ ้เพื่อรับมือกับทุกวิกฤตการณ์ในตลาดหุ้น(แม้แต่วิกฤตที่คุณกลัวจับขั้วหัวใจก็ตาม)
โดย " Creative Destruction
Model " นี้ พอจะอธิบายได้ดังนี้
ช่วงที่ 1
เมื่อวิกฤตการณ์ก่อตัวหรือเกิดพิบัติภัยขึ้นจะส่งผลลบทางจิตวิทยาของมวลชนในตลาด พากันขายหนีตายออกมาด้วยความแตกตื่น ( Panic
Sell ) ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงอย่างรุนแรง
กระทั่งส่งผลให้ราคาหุ้นลงไปมากกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก ๆ ( Under
Value )…
ในช่วงนี้
หากจะขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนแต่เนิ่นๆก็พึงจะทำ
แต่ถ้าหากร่วงลงมาลึกๆและชันก็ไม่ควรขายทิ้งแล้วนะครับ หรือในทางตรงกันข้าม
การสวนควันปืนเข้าซื้อเลยก็ยังไม่ควรทำเช่นกัน
ช่วงที่ 2
หลังจากมวลชนคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นได้พากันเทขายออกมาจนหนำใจแล้ว นรกก็จะค่อย ๆ เย็นลง เข้าสู่ช่วงซึมกระทือ
ทั้งปริมาณและมูลค่าซื้อขาย ราคาหุ้นไม่ลงต่อแบบไหลรูดลงแล้ว เพราะคนที่ขายก็พากันขายจนเป็นที่พอใจแล้ว ไม่มีแรงขายล็อตใหญ่ ๆ อีกแล้ว
แต่ในฝั่งตรงข้ามคนที่จะซื้อก็ยังไม่กล้าซื้อหุ้น เนื่องจากว่าวิกฤตการณ์ที่ถาโถมใส่ยังไม่จบสิ้น
หรือยังไม่เคลียร์
ช่วงนี้ราคาหุ้นจึงมักทรง ๆ
มูลค่าซื้อขายซบเซา
ส่วนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
ก็มักต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงแบบมีส่วนลด ( DISCOUNT) มาก ๆ
ช่วงจังหวะที่ 2 นี่เองที่ผมแนะนำว่าเริ่มเก็บหุ้นได้แล้วครับ ฝุ่นหายตลบแล้ว ความเงียบมาเยือน ความซึมเซาทรง ๆ ปกคลุมเริ่มช้อนได้ ไม่มีใครแย่ง
ไม่มีใครกล้าแหย็มไล่ราคาขึ้น
แต่ถ้ายังไม่กล้าช้อนซื้อในช่วงนี้ก็ WAIT
& SEE คอยจังหวะในช่วงต่อไป...
ช่วงที่ 3 เมื่อวิกฤตการณ์สิ้นสุดลง หรือทำท่าว่าจะสิ้นสุดลง หรือกะเก็งกันว่าผลจะจบแบบไหน ? ( สมัยสงครามอ่าวเปอร์เซียทั้งหนแรก
และหน 2
พออเมริกาเปิดฉากยิงใส่ฝ่ายซัดดาม ฮุสเซน
เปรี้ยงแรก
ตลาดหุ้นก็ขึ้นเลยครับและขึ้นยาวซะด้วย )
ราคาหุ้นก็จะทะยานขึ้น
และผมได้บันทึกสถิติไว้ว่า ในช่วงที่ 3 นี้ราคาหุ้นจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ( New High ) กว่ายอดไฮ หรือยอดสูงเดิม
แบบที่เรียกว่า นวตกรรมใหม่เกิดขึ้นหลังจากทำลายของเดิมลงไปแล้วนั่นเอง
ช่วงจังหวะที่ 3 นี้เอง ที่ผมให้เคล็ดลับแนะนำแนวทางในการลงทุนไว้ว่า ให้เพิ่มพอร์ตการลงทุน
หรือซื้อเพิ่มจนเต็มพอร์ต (
หรือถ้าในช่วงที่ 2 จังหวะซึมๆ ซึมกระทือ วอลุ่มบางเฉียบอย่างมีนัยสำคัญ
ก็ควรเริ่มเก็บได้แล้ว แต่หากยังไม่กล้าเก็บไม่กล้าช้อนซื้อในช่วงปลายๆช่วงที่ 2 ก็ต้องมาเร่งเอาช่วงที่ 3 นี้หละครับ )
จากนั้นให้ถือครองกอดหุ้นไว้
แล้วนำไปรอขายในช่วงที่ราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ( NEW HIGH )
เป้าขาย 1300
วันนี้มีกรอบแนวรับ1230-1226 แนวต้าน1244 หากผ่านด่านนี้ก็จึงจะเหวี่ยงขึ้นแรงต่อไปด่าน1260-1267ที่เป็นไฮในสัปดาห์ก่อน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น